เมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา เมืองอิสตันบูล เป็นข่าวดังไปทั่วโลกอีกครั้ง เมื่อประธานาธิบดีเออร์โดวาน แห่งตุรกี ลงนามประกาศให้ ฮาเกียโซเฟีย หรือ อยาโซเฟีย (Hagia Sophia) มรดกโลกที่เป็นดั่งสัญลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศ มีสถานะกลับคืนสู่การเป็นมัสยิด ตามคำพิพากษาของศาลสูงตุรกีที่ว่า การเปลี่ยนสถานะ “ฮาเกีย โซเฟีย”ให้เป็นพิพิธภัณฑ์นั้น ถือเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นโมฆะ เนื่องจากเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ของสุลต่าน เมห์เหม็ด แห่งจักรวรรดิออตโตมัน แม้คำพิพากษาดังกล่าว สร้างความกังวลจากนานาชาติ เนื่องจากในอดีตสถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์รวมความศรัทธาของจักรวรรดิไบแซนไทน์ที่นับถือศาสนาคริสต์ เคยเป็นวิหารของชาวออร์ธอด็อกซ์ และคาทอลิกมาก่อนด้วย โดยเปลี่ยนมาเป็นมัสยิดในยุคที่อาณาจักรออตโตมันเข้ามาครอบครอง ก่อนเปลี่ยนสถานะเป็นพิพิธภัณฑ์ในยุคของนายพลอตาเติร์ก เมื่อปี 1934
แต่ในมุมมองของชาวอิสตันบูล ก็มีผู้เห็นด้วยจำนวนไม่น้อย และเดินทางมาชุมนุม แสดงความยินดีกับคำสั่งกล่าว รอบๆ ฮาเกียโซเฟียจึงเต็มไปด้วยความคึกคัก ตลอดหลายวันที่ผ่านมา โดยคาดการณ์ว่า จะอนุญาตให้เริ่มกลับมาประกอบพิธีทางศาสนาอิสลามภายในฮาเกียโซเฟียได้ในวันศุกร์ที่ 24 ก.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องการท่องเที่ยวนั้น ประธานาธิบดีเออร์โดวาน กล่าวว่า ฮาเกียโซเฟีย ยังคงสถานะของมรดกโลกทางวัฒนธรรม ที่เปิดกว้างให้กับบุคคลทุกเชื้อชาติ ศาสนาเข้าไปเยือนได้เช่นเดิม
อนึ่ง ในแง่ของการท่องเที่ยว ประเทศตุรกี มีมัสยิดที่มีความวิจิตรงดงามเป็นจำนวนมาก และมัสยิดที่มีชื่อเสียงนั้น อนุญาตให้นักท่องเที่ยวทุกชาติ ทุกศาสนา สามารถเข้าชมได้ โดยมีระเบียบบังคับเรื่องการแต่งกายที่เหมาะสม และงดเข้าชมเฉพาะช่วงเวลาที่มีพิธีกรรมใหญ่ทางศาสนา
แต่ในมุมมองของชาวอิสตันบูล ก็มีผู้เห็นด้วยจำนวนไม่น้อย และเดินทางมาชุมนุม แสดงความยินดีกับคำสั่งกล่าว รอบๆ ฮาเกียโซเฟียจึงเต็มไปด้วยความคึกคัก ตลอดหลายวันที่ผ่านมา โดยคาดการณ์ว่า จะอนุญาตให้เริ่มกลับมาประกอบพิธีทางศาสนาอิสลามภายในฮาเกียโซเฟียได้ในวันศุกร์ที่ 24 ก.ค.นี้