นอกจากโบราณสถานยิ่งใหญ่ตระการตา ทัศนียภาพงดงามตามธรรมชาติ ชีวิตความเป็นอยู่และวัฒนธรรมอันแตกต่างของผู้คนในแต่ละท้องถิ่น โลกใบนี้ยังมีสถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าอัศจรรย์ใจหาคำตอบไม่ได้อีกหลายแห่ง ชวนให้นักสำรวจ นักวิทยาศาสตร์ และผู้คนจากทั่วโลกต่างเดินทางออกสำรวจเพื่อไขความลับน่าฉงนเหล่านั้น สถาปัตยกรรมและสิ่งปลูกสร้างบางแห่งดูจะเป็นเรื่องเหนือความสามารถของมนุษย์จนถึงกับสันนิษฐานกันว่าเป็นฝีมือของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากดาวดวงอื่น ซึ่งยังคงเป็นปริศนามายาวนานนับร้อยนับพันปี เรื่องราวหลากหลายล้วนแล้วแต่น่าพิศวง ปลุกเร้าจินตนาการ และตอกย้ำคำถามชวนคิดที่ว่า “เราคือผู้โดดเดี่ยวในจักรวาลจริงหรือ” Dendera Temple อียิปต์
เป็นที่ทราบกันดีว่า “หลอดไฟฟ้า” ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เกิดขึ้นเพียงเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วนี้เอง แต่ภายใน “วิหารเดนเดรา” (Dendera Temple) ทางตอนเหนือของเมืองลักซอร์ ประเทศอียิปต์ซึ่งมีอายุเก่าแก่ถึงกว่า 2,000 ปีกลับมีภาพสลักสิ่งประดิษฐ์ที่ล้ำยุคเร็วไปถึงสองสหัสวรรษนั่นคือภาพ “หลอดไฟ” และภาพ “เครื่องกำเนิดไฟฟ้า” รวมถึงภาพงูที่ใช้แทนลวดนำไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม แม้จะมีสมมติฐานว่าชาวอียิปต์โบราณมีเทคโนโลยีที่สามารถสร้างแสงสว่างจากหลอดไฟนี้ได้จริง แต่จากหลักฐานจารึกภาษาอียิปต์โบราณกลับระบุไว้ว่าภาพหลอดไฟนี้เป็นสัญลักษณ์แทนดวงอาทิตย์และสุริยเทพ รวมทั้งการถือกำเนิดขึ้นของชีวิตใหม่ มิได้เป็นหลอดไฟให้แสงส่องสว่างอย่างที่เข้าใจกัน แต่กระนั้น เทคโนโลยีทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ของชาวอียิปต์โบราณนั้นน่าอัศจรรย์ใจและยังคงไม่มีผู้ใดสามารถไขความลับนี้ได้จวบจนปัจจุบัน Area 51 สหรัฐอเมริกา
ในโลกนี้มีทฤษฎีสมคบคิดมากมายหนึ่งในนั้นคือเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกหรือที่เรียกกันง่ายๆว่า “มนุษย์ต่างดาว” ว่ากันว่าประเทศสหรัฐอเมริกากุมความลับเกี่ยวกับการมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาวเอาไว้มากมาย โดยมี Area 51 ฐานทัพใหญ่กลางทะเลทรายในรัฐเนวาดาเป็นสถานที่ที่ต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ทุกครั้งไป Area 51 เป็นที่ฝึกทหารพิเศษและที่ทดลองอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพสหรัฐฯ ที่มีผู้เชื่อกันว่าแอบซ่อนมนุษย์ต่างดาวเอาไว้ แน่นอนว่ากองทัพสหรัฐฯ ย่อมไม่เปิดเผยข้อเท็จจริงดังกล่าวรวมทั้งปฏิเสธที่จะให้เยี่ยมชมภายใน Area 51 เนื่องจากเป็นความลับสุดยอดทางการทหารและความมั่นคงของประเทศ ทำให้ข่าวลือสารพัดเกี่ยวกับการเก็บซ่อนมนุษย์ต่างดาวและยูเอฟโอไว้ใน Area 51 ยังคงเป็นเรื่องเล่าขานที่ไม่มีใครรู้ความจริงต่อไป Puma Punku โบลิเวีย
“ปูมาปันกู” (Puma Punku) โบราณสถานอันเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิหาร “ติวานากู” (Tiwanaku) ในประเทศโบลิเวียใกล้กับทะเลสาบติติกากา (Titicaca) ต้นกำเนิดอารยธรรมอินคา โบราณสถานแห่งนี้เชื่อกันว่าสร้างขึ้นประมาณปีค.ศ.536 โดยความน่าพิศวงของปูมาปันกูอยู่ที่ก่อสร้างด้วยก้อนหินขนาดมหึมา (ก้อนที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดถึง 5.17 x 7.81 x 1.07 เมตรและหนักถึง 131 ตัน) แต่ละก้อนตัดเป็นแท่งเรียบวางเรียงซ้อนกันน่าอัศจรรย์ใจเนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่มีเครื่องมือที่จะสามารถตัดหินขนาดยักษ์ได้ โดยเฉพาะหินรูปตัว H ที่ตัดได้เรียบกริบราวกับใช้เครื่องจักรทันสมัย อีกทั้งการขนย้ายหินเหล่านี้ก็ยังคงเป็นปริศนาที่ไม่มีเงื่อนงำใด ๆ ให้คนรุ่นปัจจุบันได้ศึกษานอกจากการคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา ซึ่งหนึ่งในสมมติฐานนั้นคือเชื่อว่าเทคโนโลยีวิศวกรรมศาสตร์อันสูงส่งนั้นมีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกเป็นผู้สร้างขึ้น Nazca Lines เปรู
ลายเส้นรูปทรงเรขาคณิตและรูปสัตว์ต่างๆ อาทิ วาฬ กิ้งก่า สุนัข แมงมุม ลิง มนุษย์ รวมถึงนกที่ไม่มีในท้องถิ่นอย่างนกฮัมมิงเบิร์ดซึ่มีขนาดใหญ่โตถึงราว 1 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่กว่า 50 ตารางกิโลเมตรกลางทะเลทราย “นาซกา” (Nazca) ยังคงเป็นปริศนาที่รอการไขมานานนับศตวรรษ ความน่าพิศวงอยู่ที่ชาวนาซกา วาดลวดลายเหล่านี้ขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ใดเพราะลายเส้นเหล่านี้สามารถมองเห็นเป็นรูปได้จากท้องฟ้าเท่านั้น มีเพียงข้อสันนิษฐานที่ว่าเส้นสายอายุราว 2,000 ปีนี้วาดขึ้นเพื่อให้เทพบนท้องฟ้ามองลงมาเห็น เป็นปฏิทินดาราศาสตร์ หรือบ้างก็ว่าใช้เป็นคลองส่งน้ำในระบบชลประทาน ส่วนสร้างขึ้นได้อย่างไรนั้น มีทฤษฎีที่ยอมรับกันมากที่สุดว่าชาวนาซกา วาดขึ้นโดยใช้เชือกผูกกับไม้โดยอาศัยการวัดและคำนวณเพื่อวาดลายเส้นตามที่ออกแบบไว้ ขณะที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตเช่นกันว่าน่าจะไม่ใช่ฝีมือมนุษย์เนื่องจากในยุคนั้นไม่มีภาพถ่ายหรืออุปกรณ์ที่ทำให้ลากเส้นได้จากมุมสูง Stonehenge สหราชอาณาจักร
“สโตนเฮนจ์” (Stonehenge) กลุ่มแท่งหินจำนวน 112 ก้อนเรียงซ้อนกันเป็นวงกลม 3 วงตั้งตระหง่านกลางทุ่งราบซาลิสเบอรี (Salisbury) ยังคงเป็นปริศนาที่ทำให้ชาวโลกกังขากันมานานนับศตวรรษ ไม่มีใครบอกได้แน่ชัดถึงประวัติความเป็นมา วัตถุประสงค์ และวิธีการที่ใช้ในการก่อสร้างกลุ่มแท่งหินอายุถึงกว่า 5,000 ปีแห่งนี้ ทราบกันแต่เพียงว่าก่อสร้างขึ้นในระยะเวลาต่างกัน 3-4 ระยะในช่วงเวลาราว 1,500 ปี โดยหินขนาดมหึมานี้น่าจะมาจากทุ่งมาร์ลโบโร (Marlborough) ที่อยู่ห่างไปราว 40 กิโลเมตรเนื่องจากบริเวณที่ราบซาลิสเบอรีไม่มีหินอยู่เลย ส่วนเรื่องใครเป็นผู้สร้าง ขนย้ายหินหนักกว่า 30 ตันมาได้อย่างไร ยกหินขึ้นซ้อนกันได้อย่างไร ก่อสร้างด้วยเทคโนโลยีใดนั้น ก็ยังไม่มีคำอธิบายใดที่ยืนยันได้ แน่นอนว่าย่อมมีผู้สันนิษฐานว่าอาจเป็นอีกหนึ่งผลงานของสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก
เป็นที่ทราบกันดีว่า “หลอดไฟฟ้า” ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เกิดขึ้นเพียงเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วนี้เอง แต่ภายใน “วิหารเดนเดรา” (Dendera Temple) ทางตอนเหนือของเมืองลักซอร์ ประเทศอียิปต์ซึ่งมีอายุเก่าแก่ถึงกว่า 2,000 ปีกลับมีภาพสลักสิ่งประดิษฐ์ที่ล้ำยุคเร็วไปถึงสองสหัสวรรษนั่นคือภาพ “หลอดไฟ” และภาพ “เครื่องกำเนิดไฟฟ้า” รวมถึงภาพงูที่ใช้แทนลวดนำไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม แม้จะมีสมมติฐานว่าชาวอียิปต์โบราณมีเทคโนโลยีที่สามารถสร้างแสงสว่างจากหลอดไฟนี้ได้จริง
ในโลกนี้มีทฤษฎีสมคบคิดมากมายหนึ่งในนั้นคือเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกหรือที่เรียกกันง่ายๆว่า “มนุษย์ต่างดาว” ว่ากันว่าประเทศสหรัฐอเมริกากุมความลับเกี่ยวกับการมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาวเอาไว้มากมาย โดยมี Area 51 ฐานทัพใหญ่กลางทะเลทรายในรัฐเนวาดาเป็นสถานที่ที่ต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ทุกครั้งไป Area 51 เป็นที่ฝึกทหารพิเศษและที่ทดลองอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพสหรัฐฯ ที่มีผู้เชื่อกันว่าแอบซ่อนมนุษย์ต่างดาวเอาไว้
“ปูมาปันกู” (Puma Punku) โบราณสถานอันเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิหาร “ติวานากู” (Tiwanaku) ในประเทศโบลิเวียใกล้กับทะเลสาบติติกากา (Titicaca) ต้นกำเนิดอารยธรรมอินคา โบราณสถานแห่งนี้เชื่อกันว่าสร้างขึ้นประมาณปีค.ศ.536 โดยความน่าพิศวงของปูมาปันกูอยู่ที่ก่อสร้างด้วยก้อนหินขนาดมหึมา (ก้อนที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดถึง 5.17 x 7.81 x 1.07 เมตรและหนักถึง 131 ตัน) แต่ละก้อนตัดเป็นแท่งเรียบวางเรียงซ้อนกันน่าอัศจรรย์ใจเนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่มีเครื่องมือที่จะสามารถตัดหินขนาดยักษ์ได้
ลายเส้นรูปทรงเรขาคณิตและรูปสัตว์ต่างๆ อาทิ วาฬ กิ้งก่า สุนัข แมงมุม ลิง มนุษย์ รวมถึงนกที่ไม่มีในท้องถิ่นอย่างนกฮัมมิงเบิร์ดซึ่มีขนาดใหญ่โตถึงราว 1 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่กว่า 50 ตารางกิโลเมตรกลางทะเลทราย “นาซกา” (Nazca) ยังคงเป็นปริศนาที่รอการไขมานานนับศตวรรษ ความน่าพิศวงอยู่ที่ชาวนาซกา วาดลวดลายเหล่านี้ขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ใดเพราะลายเส้นเหล่านี้สามารถมองเห็นเป็นรูปได้จากท้องฟ้าเท่านั้น
“สโตนเฮนจ์” (Stonehenge) กลุ่มแท่งหินจำนวน 112 ก้อนเรียงซ้อนกันเป็นวงกลม 3 วงตั้งตระหง่านกลางทุ่งราบซาลิสเบอรี (Salisbury) ยังคงเป็นปริศนาที่ทำให้ชาวโลกกังขากันมานานนับศตวรรษ ไม่มีใครบอกได้แน่ชัดถึงประวัติความเป็นมา วัตถุประสงค์ และวิธีการที่ใช้ในการก่อสร้างกลุ่มแท่งหินอายุถึงกว่า 5,000 ปีแห่งนี้ ทราบกันแต่เพียงว่าก่อสร้างขึ้นในระยะเวลาต่างกัน 3-4 ระยะในช่วงเวลาราว 1,500 ปี