ในโลกยุคปัจจุบันที่อะไรต่างๆก็ล้วนสะดวกรวดเร็ว ทำสิ่งต่างๆได้ง่ายดาย ไม่เว้นแม้แต่การท่องเที่ยวที่เราสามารถวางแผน ปรับเปลี่ยนโปรแกรม และจำกัดเวลาลง เพื่อให้ได้ปริมาณของสถานที่ หรือการเดินทางที่แปรผกผันกับเวลา
แต่ทว่าในอีกด้านหนึ่ง การท่องเที่ยวที่เรียกว่า Slow Travel ที่มีรูปแบบการเที่ยวแบบเนิบช้า รวมถึงการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Tourism ก็เติบโตขึ้นตามมาด้วย ซึ่งตอบโจทย์กับกลุ่มนักเดินทางที่เหนื่อยล้า เบื่อกับอะไรที่เร่งรีบ จนทำให้พลาดรายละเอียดที่สำคัญระหว่างทางไปอย่างน่าเสียดาย The Passport มี Tips ดีๆมาฝาก ให้คุณได้นำไปลองใช้กับการเดินทางครั้งต่อไป เพื่อปรับมุมมองการท่องเที่ยวของคุณให้มีคุณภาพ สอดคล้องไปกับโลกที่กำลังโหยหาความเนิบช้าและยั่งยืน
ปิดสวิตช์ เปิดหัวใจ
โลกดิจิทัล ทำให้เราอยู่กับหน้าจอมือถือ โน้ตบุ๊ค แท็ปเลต แทบจะตลอดเวลา การเดินทางของนักเที่ยวสาย Slow ควรปล่อยวาง โลกออนไลน์ไปบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณตั้งใจไปพักผ่อน เพื่อชาร์จพลังงานให้กับชีวิตจริงๆ ดังนั้นจะดีแค่ไหน ถ้าวันหนึ่งจะได้ทำกิจกรรมท่องเที่ยว โดยไม่ต้องจดจ่อกับเรื่องราวบนหน้าจอมือถือ แต่เลือกหันไปสนทนากับคนแปลกหน้าระหว่างทาง คุยกับคนท้องถิ่นที่มีไมตรี สนุกกับกิจกรรมตรงหน้า หรือนอนจมอยู่กับหนังสือเล่มโปรดที่ริมชายหาด ลดจังหวะความเร็วในชีวิต
ถ้าคุณต้องการความรวดเร็ว สะดวกสบาย การท่องเที่ยวที่ใช้รถส่วนตัวก็คงเหมาะ แต่ถ้าลองสลับด้วยการปรับความเร็วไปใช้บริการจักรยาน เดินสำรวจด้วยสองเท้า หรือลองใช้บริการรถสาธารณะดูบ้าง ก็ย่อมมอบประสบการณ์สนุกๆมันๆ ที่แตกต่างจากเดิมได้ไม่น้อย ที่สำคัญความเนิบช้าของการเดินทางแนวนี้ จะทำให้คุณมีโอกาสซึมซับความเป็นท้องถิ่น และมีโอกาสเจอกับความน่าสนใจที่หลบซ่อนสายตาของนักท่องเที่ยวทั่วไปได้ Green Backpacker
ไม่จำเป็นต้องแบกเป้เที่ยวสไตล์โลโซ แต่ green backpacker หมายถึง เริ่มตั้งแต่การจัดกระเป๋า ที่ลดจำนวนสิ่งไม่จำเป็น หรือสิ่งที่เพิ่มเติมขยะให้กับชุมชนที่ไปเที่ยวออกไปบ้าง โดยพกกระเป๋าหรือถุงผ้า ภาชนะ หรือแก้วน้ำที่ใช้ซ้ำได้ ติดตัวไปแทน ซึ่งเป็นการช่วยลดปริมาณขยะเมื่อเดินทางท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ช่วยโรงแรม ช่วยโลก
จริงอยู่ที่เวลาเดินทางไปพักผ่อนที่โรงแรม เราก็อยากใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆให้คุ้มค่าที่สุด แต่หากลองพิจารณาถึงความเป็นจริงเท่าที่จำเป็นแล้ว คุณสามารถมีส่วนช่วยโลกได้ ด้วยการช่วยประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ ใช้ตามความจำเป็น หรือไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ทุกวัน ก็เป็นการช่วยโลกได้แล้ว ลิ้มรสอาหารพื้นบ้าน
เปลี่ยนมื้อเช้าที่โรงแรม อาหารหรูในร้าน หรืออาหารสำเร็จรูปจากร้านสะดวกซื้อดูบ้าง เพราะสิ่งสำคัญของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน คุณควรหาโอกาสใช้เวลาไปกับการลิ้มลองอาหารพื้นบ้าน ไปพูดคุย สอบถามรายละเอียดอาหารเด็ดของชาวท้องถิ่น ซึ่งนอกจากเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนแล้ว อีกด้านหนึ่ง คุณก็เป็นส่วนเล็กๆที่ช่วยสืบสานให้อาหารถิ่นยังสืบทอดต่อไป นอกจากคุณจะได้รู้วิถีถิ่นในเรื่องอาหารการกิน วัตถุดิบแปลกๆ ความรู้ใหม่ๆด้านอาหารแล้ว ยังมีส่วนช่วยเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้รู้ว่า ชุมชนนี้มีอาหารรสเด็ดที่รอให้นักเดินทางมาชิม
แต่ทว่าในอีกด้านหนึ่ง การท่องเที่ยวที่เรียกว่า Slow Travel ที่มีรูปแบบการเที่ยวแบบเนิบช้า รวมถึงการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Tourism ก็เติบโตขึ้นตามมาด้วย ซึ่งตอบโจทย์กับกลุ่มนักเดินทางที่เหนื่อยล้า เบื่อกับอะไรที่เร่งรีบ จนทำให้พลาดรายละเอียดที่สำคัญระหว่างทางไปอย่างน่าเสียดาย
ปิดสวิตช์ เปิดหัวใจ
โลกดิจิทัล ทำให้เราอยู่กับหน้าจอมือถือ โน้ตบุ๊ค แท็ปเลต แทบจะตลอดเวลา การเดินทางของนักเที่ยวสาย Slow ควรปล่อยวาง โลกออนไลน์ไปบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณตั้งใจไปพักผ่อน เพื่อชาร์จพลังงานให้กับชีวิตจริงๆ ดังนั้นจะดีแค่ไหน ถ้าวันหนึ่งจะได้ทำกิจกรรมท่องเที่ยว โดยไม่ต้องจดจ่อกับเรื่องราวบนหน้าจอมือถือ แต่เลือกหันไปสนทนากับคนแปลกหน้าระหว่างทาง คุยกับคนท้องถิ่นที่มีไมตรี สนุกกับกิจกรรมตรงหน้า หรือนอนจมอยู่กับหนังสือเล่มโปรดที่ริมชายหาด
ถ้าคุณต้องการความรวดเร็ว สะดวกสบาย การท่องเที่ยวที่ใช้รถส่วนตัวก็คงเหมาะ แต่ถ้าลองสลับด้วยการปรับความเร็วไปใช้บริการจักรยาน เดินสำรวจด้วยสองเท้า หรือลองใช้บริการรถสาธารณะดูบ้าง ก็ย่อมมอบประสบการณ์สนุกๆมันๆ ที่แตกต่างจากเดิมได้ไม่น้อย ที่สำคัญความเนิบช้าของการเดินทางแนวนี้ จะทำให้คุณมีโอกาสซึมซับความเป็นท้องถิ่น และมีโอกาสเจอกับความน่าสนใจที่หลบซ่อนสายตาของนักท่องเที่ยวทั่วไปได้
ไม่จำเป็นต้องแบกเป้เที่ยวสไตล์โลโซ แต่ green backpacker หมายถึง เริ่มตั้งแต่การจัดกระเป๋า ที่ลดจำนวนสิ่งไม่จำเป็น หรือสิ่งที่เพิ่มเติมขยะให้กับชุมชนที่ไปเที่ยวออกไปบ้าง โดยพกกระเป๋าหรือถุงผ้า ภาชนะ หรือแก้วน้ำที่ใช้ซ้ำได้ ติดตัวไปแทน ซึ่งเป็นการช่วยลดปริมาณขยะเมื่อเดินทางท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
จริงอยู่ที่เวลาเดินทางไปพักผ่อนที่โรงแรม เราก็อยากใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆให้คุ้มค่าที่สุด แต่หากลองพิจารณาถึงความเป็นจริงเท่าที่จำเป็นแล้ว คุณสามารถมีส่วนช่วยโลกได้ ด้วยการช่วยประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ ใช้ตามความจำเป็น หรือไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ทุกวัน ก็เป็นการช่วยโลกได้แล้ว
เปลี่ยนมื้อเช้าที่โรงแรม อาหารหรูในร้าน หรืออาหารสำเร็จรูปจากร้านสะดวกซื้อดูบ้าง เพราะสิ่งสำคัญของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน คุณควรหาโอกาสใช้เวลาไปกับการลิ้มลองอาหารพื้นบ้าน ไปพูดคุย สอบถามรายละเอียดอาหารเด็ดของชาวท้องถิ่น ซึ่งนอกจากเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนแล้ว อีกด้านหนึ่ง คุณก็เป็นส่วนเล็กๆที่ช่วยสืบสานให้อาหารถิ่นยังสืบทอดต่อไป นอกจากคุณจะได้รู้วิถีถิ่นในเรื่องอาหารการกิน วัตถุดิบแปลกๆ ความรู้ใหม่ๆด้านอาหารแล้ว ยังมีส่วนช่วยเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้รู้ว่า ชุมชนนี้มีอาหารรสเด็ดที่รอให้นักเดินทางมาชิม