อิตาลีเป็นมากกว่าดินแดนแห่งศิลปะ แฟชั่น และอาหาร โดยเฉพาะธรรมชาติทั่วทั้งดินแดนที่แต่งแต้มไปด้วยสีสันอันหลากหลาย ตั้งแต่สีเขียวชอุ่มของอุทยานแห่งชาติ สีฟ้าของทะเลสาบ สีขาวของหิมะบนเทือกเขาแอลป์ ไปจนถึงสีดำของเถ้าถ่านจากภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น จัดว่ามีตัวเลือกให้เที่ยวธรรมชาติเยอะมาก ๆ สำหรับประเทศที่มีขนาดเพียงสามแสนตารางกิโมตร (เล็กกว่าประเทศไทยเสียอีก)
เตรียมตัวให้พร้อม แล้วมาตะลุยไปในสถานที่เที่ยวทางธรรมชาติที่ดีที่สุด 5 แห่งในอตาลีที่ต้องไปสัมผัสสักครั้ง
ชายฝั่งอามาลฟี (Amalfi Coast)
ภาพพาโนรามาของหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนเชิงเขาสลับกับต้นไม้สีเขียว ด้านหน้าเป็นผืนน้ำสีครามของคาบสมุทรซอร์เรนตีเน ทำให้ชายฝั่งแห่งนี้ดูเหมือนหลุดออกมาจากนิทานสักเรื่องและเป็นที่รักของเหล่าผู้มาเยือนได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ในหมู่บ้านมีทั้งจัตุรัส โรงภาพยนตร์ ไปจนถึงร้านอาหารดังระดับประเทศ
หนึ่งในไฮไลต์ของที่นี่คือเส้นทางเดินป่าที่มีให้เลือกมากกว่า 10 เส้นทาง มีเส้นทางเดินที่ไม่ลำบาก และยังสามารถทำได้ภายในเวลาเพียง 2-3 ชั่วโมง เช่น เส้นทาง Sentiero Degli Dei, Punta Campanel และ Bay of Ieran ภูเขาไฟเอตนา (Mount Etna)
นอกจากได้ชื่อว่าเป็นภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปแล้ว ยังเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่ยังมีการปะทุรุนแรงมากที่สุดแห่งหนึ่งบนโลกอีกด้วย บนความสูงกว่า 3,326 เมตร ตระหง่านเหนือชายฝั่งไอโอเนียนของซิซิลี ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่สุดโปรดของเหล่านักแอดเวนเจอร์ที่มักจับกลุ่มกันมาเดินขึ้นเขาเพื่อขึ้นไปชมวิวจากมุมสูง และชมซากเถ้าถ่านลาวาที่ถูกปล่อยออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟ ซึ่งทำให้พื้นที่รอบ ๆ นั้นเต็มไปด้วยไร่องุ่นและแหล่งทำไวน์ชื่อดังไปโดยปริยาย
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมากันในช่วงเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม เพราะอากาศกำลังดี และถ้าไม่อยากเจอผู้คนจำนวนมาก แนะนำให้ไปช่วงเดือนพฤษภาคม หรือไม่ก็ช่วงเดือนปลายเดือนกันยายนไปจนถึงตุลาคม ที่อากาศยังดีอยู่แต่จำนวนนักท่องเที่ยวน้อยกว่ามาก ทิวเขาโดโลไมท์ (Dolomites)
ไม่มีที่ไหนจะยิ่งใหญ่และมีความแปลกตาทางด้านธรณีวิทยาไปมากกว่ายอดเขาขรุขระแห่งนี้ เมื่อนั่งกระเช้าเข้าไปก็จะพบตั้งของสกีรีสอร์ตที่ดังที่สุด ชาวยุโรปจะแห่กันมาที่นี่ในช่วงฤดูหนาวเพื่อเล่นสกีและสโนว์บอร์ด รวมถึงกีฬาฤดูหนาวอีกหลากหลายอย่าง
แต่ใช่ว่าจะมีดีแค่ช่วงหน้าหนาว เพราะบริเวณโดยรอบที่เคยขาวโพลนก็จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวชอุ่ม แต่งแต้มด้วยสีสันของดอกไม้ป่าในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดึงดูดให้มาสูดอากาศแสนบริสุทธิ์กันสักครั้ง ทะเลสาบโคโม (Lake Como)
ทะเลสาบรูปตัว Y กลับหัวที่ได้รับการยกย่องว่างดงามที่สุดในแคว้นลอมบาร์เดีย ทอดตัวอยู่ภายใต้เงาของเทือกเขาแอลป์ทางตอนเหนือของประเทศ รอบ ๆ ทะเลสาบเป็นที่ตั้งของวิลล่าสุดหรูหราและทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่จะพาคุณย้อนเวลากลับไปในสมัยขุนนางแห่งศตวรรษที่ 16 รวมถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีเสน่ห์ โดยมีสามแห่งหลัก ๆ ที่นักท่องเที่ยวมักจะไปเยี่ยมเยือน ได้แก่ เบลลาจิโอ, วาเรนนา และโคโม ซึ่งเป็นแหล่งรวมร้านอาหารอิตาเลียนคลาสสิก ที่นี่เป็นสวรรค์สำหรับการเล่นกีฬาทางน้ำตลอดช่วงฤดูร้อน ทั้งกระดานโต้คลื่น พายเรือแคนู และเจ็ทสกี แต่ถ้าอยากเที่ยวแบบสบาย ๆ ก็ต้องไปล่องเรือเพื่อซึมซับบรรยากาศรอบ ๆ ทะเลสาบ อุทยานแห่งชาติอาบรุซโซ (Abruzzo National Park)
จำนวนนักท่องเที่ยวกว่าสองล้านคนต่อปี การันตีกว่าอุทยานแห่งชาติอาบรุซโซนั้นน่าทึ่งแค่ไหน อุทยานแห่งชาติเก่าแก่ลำดับที่สองของประเทศ มีพื้นที่คุ้มครองขนาด 440 ตารางกิโลเมตรครอบคลุมพื้นที่ไปถึงสามแคว้น ที่รุ่มรวยไปด้วยความหลากหลายของพฤกษาพันธุ์ไม้กว่า 2,000 ชนิด และกว่าร้อยละ 60 ของพื้นที่ก็ปกคลุมไปด้วยความเขียวของไม้บีช ที่เป็นพระเอกมาช่วยสร้างภูมิทัศน์ให้เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล
เตรียมตัวให้พร้อม แล้วมาตะลุยไปในสถานที่เที่ยวทางธรรมชาติที่ดีที่สุด 5 แห่งในอตาลีที่ต้องไปสัมผัสสักครั้ง
ชายฝั่งอามาลฟี (Amalfi Coast)
ภาพพาโนรามาของหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนเชิงเขาสลับกับต้นไม้สีเขียว ด้านหน้าเป็นผืนน้ำสีครามของคาบสมุทรซอร์เรนตีเน ทำให้ชายฝั่งแห่งนี้ดูเหมือนหลุดออกมาจากนิทานสักเรื่องและเป็นที่รักของเหล่าผู้มาเยือนได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ในหมู่บ้านมีทั้งจัตุรัส โรงภาพยนตร์ ไปจนถึงร้านอาหารดังระดับประเทศ
หนึ่งในไฮไลต์ของที่นี่คือเส้นทางเดินป่าที่มีให้เลือกมากกว่า 10 เส้นทาง มีเส้นทางเดินที่ไม่ลำบาก และยังสามารถทำได้ภายในเวลาเพียง 2-3 ชั่วโมง เช่น เส้นทาง Sentiero Degli Dei, Punta Campanel และ Bay of Ieran
นอกจากได้ชื่อว่าเป็นภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปแล้ว ยังเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่ยังมีการปะทุรุนแรงมากที่สุดแห่งหนึ่งบนโลกอีกด้วย บนความสูงกว่า 3,326 เมตร ตระหง่านเหนือชายฝั่งไอโอเนียนของซิซิลี ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่สุดโปรดของเหล่านักแอดเวนเจอร์ที่มักจับกลุ่มกันมาเดินขึ้นเขาเพื่อขึ้นไปชมวิวจากมุมสูง และชมซากเถ้าถ่านลาวาที่ถูกปล่อยออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟ ซึ่งทำให้พื้นที่รอบ ๆ นั้นเต็มไปด้วยไร่องุ่นและแหล่งทำไวน์ชื่อดังไปโดยปริยาย
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมากันในช่วงเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม เพราะอากาศกำลังดี และถ้าไม่อยากเจอผู้คนจำนวนมาก แนะนำให้ไปช่วงเดือนพฤษภาคม หรือไม่ก็ช่วงเดือนปลายเดือนกันยายนไปจนถึงตุลาคม ที่อากาศยังดีอยู่แต่จำนวนนักท่องเที่ยวน้อยกว่ามาก
ไม่มีที่ไหนจะยิ่งใหญ่และมีความแปลกตาทางด้านธรณีวิทยาไปมากกว่ายอดเขาขรุขระแห่งนี้ เมื่อนั่งกระเช้าเข้าไปก็จะพบตั้งของสกีรีสอร์ตที่ดังที่สุด ชาวยุโรปจะแห่กันมาที่นี่ในช่วงฤดูหนาวเพื่อเล่นสกีและสโนว์บอร์ด รวมถึงกีฬาฤดูหนาวอีกหลากหลายอย่าง
แต่ใช่ว่าจะมีดีแค่ช่วงหน้าหนาว เพราะบริเวณโดยรอบที่เคยขาวโพลนก็จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวชอุ่ม แต่งแต้มด้วยสีสันของดอกไม้ป่าในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดึงดูดให้มาสูดอากาศแสนบริสุทธิ์กันสักครั้ง
ทะเลสาบรูปตัว Y กลับหัวที่ได้รับการยกย่องว่างดงามที่สุดในแคว้นลอมบาร์เดีย ทอดตัวอยู่ภายใต้เงาของเทือกเขาแอลป์ทางตอนเหนือของประเทศ รอบ ๆ ทะเลสาบเป็นที่ตั้งของวิลล่าสุดหรูหราและทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่จะพาคุณย้อนเวลากลับไปในสมัยขุนนางแห่งศตวรรษที่ 16 รวมถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีเสน่ห์ โดยมีสามแห่งหลัก ๆ ที่นักท่องเที่ยวมักจะไปเยี่ยมเยือน ได้แก่ เบลลาจิโอ, วาเรนนา และโคโม ซึ่งเป็นแหล่งรวมร้านอาหารอิตาเลียนคลาสสิก ที่นี่เป็นสวรรค์สำหรับการเล่นกีฬาทางน้ำตลอดช่วงฤดูร้อน ทั้งกระดานโต้คลื่น พายเรือแคนู และเจ็ทสกี แต่ถ้าอยากเที่ยวแบบสบาย ๆ ก็ต้องไปล่องเรือเพื่อซึมซับบรรยากาศรอบ ๆ ทะเลสาบ
จำนวนนักท่องเที่ยวกว่าสองล้านคนต่อปี การันตีกว่าอุทยานแห่งชาติอาบรุซโซนั้นน่าทึ่งแค่ไหน อุทยานแห่งชาติเก่าแก่ลำดับที่สองของประเทศ มีพื้นที่คุ้มครองขนาด 440 ตารางกิโลเมตรครอบคลุมพื้นที่ไปถึงสามแคว้น ที่รุ่มรวยไปด้วยความหลากหลายของพฤกษาพันธุ์ไม้กว่า 2,000 ชนิด และกว่าร้อยละ 60 ของพื้นที่ก็ปกคลุมไปด้วยความเขียวของไม้บีช ที่เป็นพระเอกมาช่วยสร้างภูมิทัศน์ให้เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล