ยลเสน่ห์ 5 อดีตเมืองหลวงแห่งเอเชีย

ราชธานีเก่าเอเชียที่ยังเรืองรองน่าไปเยือน
แต่ละประเทศทั่วโลกย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา รวมถึงการเปลี่ยนเมืองหลวงด้วย ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลทางการเมือง ศาสนา หรือประเพณีท้องถิ่นก็ตาม อดีตเมืองหลวงจึงรุ่มรวยด้วยวัฒนธรรมเก่าแก่ และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์

The Passport คัดสรร 5 เมืองหลวงเก่าทั่วเอเชียที่ยังงดงามน่าเที่ยว ตั้งแต่ประเทศเพื่อนบ้านของไทยไปจนถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งตะวันออกกลาง เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น
นับเวลากว่าพันปีเลยทีเดียวที่เกียวโตนั้นเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่น ก่อนที่จะย้ายมาสู่โตเกียวในปัจจุบัน จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรที่ทั่วทั้งเมืองจะเต็มไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมมากมาย ทั้งวัด ศาลเจ้า สวนญี่ปุ่น ที่ส่วนหนึ่งนั้นได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เช่น วัดคิโยะมิซุ วัดโทจิ ศาลเจ้าคาโมวาเกอิกาซูจิ และศาลเจ้าคาโมมิโอยะ อีกหนึ่งสถานที่สำคัญที่คือ พระราชวังอิมพีเรียลเกียวโต เพราะตามประเพณีแล้วเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นจะเปลี่ยนไปตามที่อยู่อาศัยของจักรพรรดิ เมื่อมีการย้ายพระราชวังไปยังโตเกียวในปี 1869 การเป็นเมืองหลวงของเกียวโตจึงสิ้นสุดลง

อย่าลืมแวะไปเดินตลาดนิชิกิ ตลาดปลาเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 400 ปี และได้ชื่อว่าเป็นครัวของเกียวโต และเป็นสวรรค์ของคนรักอาหารญี่ปุ่นอย่างแท้จริง

หากสำรวจเกียวโตจนทั่วแล้วและยังมีเวลาเหลือ แนะนำให้ลองเที่ยววันเดย์ทริปง่าย ๆ ซึ่งจุดหมายปลายทางมีให้เลือกทั้งโอซาก้า นารา และโกเบ ที่ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์หรือรถไฟ ก็ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ซีอาน ประเทศจีน
ที่นี่เคยเป็นศูนย์กลางทางการเมือง การปกครอง การศึกษา และวัฒนธรรมจีนโบราณ ผ่านการปกครองมาหลายยุคหลายสมัย ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ฉิน รางวงศ์ฮั่น และราชวงศ์ถัง ซึ่งในสมัยราชวงศ์ถังนั้นเป็นเสมือนยุคทองของเมืองซีอาน เพราะเริ่มมีการค้าขายกับชาติตะวันตกผ่านเส้นทางสายไหมโบราณ

แต่ถ้าพูดถึงมรดกทางวัฒนธรรมของซีอานที่ต้องไปชมสักครั้งในชีวิต ต้องเป็นที่สุสานทหารม้าดินเผาจิ๋นซีฮ่องเต้ หนึ่งในแปดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่ประกอบไปด้วยรูปปั้นนายทหารจำนวนมากกว่า 8,000 นายรถม้า 130 คันพร้อมรูปปั้นม้าอีก 520 ตัว รวมถึงนายหารม้าอีก 150 คน ฝังอยู่ใกล้ ๆ กับหลุมฝังศพของจิ๋นซีฮ่องเต้ แต่ไม่ใช่แค่รูปปั้นของกองทัพเท่านั้น จากการขุดค้นทางโบราณคดีพบว่ามีรูปปั้นของเหล่าข้าราชการ นักดนตรี ไปจนถึงนักกายกรรม

นอกจากสุสานรูปปั้นสุดยิ่งใหญ่แล้วยังมีอีกหลาย ๆ โบราณสถานรอบเมือง ทั้งกำแพงเมืองและหอระฆังที่บ่งบอกถึงการเป็นอดีตเมืองหลวง แต่ถ้าอยากสัมผัสอีกวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไป ให้มุ่งหน้าไปที่จัตุรัสมุสลิมซีอาน ที่เป็นแหล่งรวมร้านอาหารแขกและเป็นที่ตั้งของมัสยิดที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมจีน มัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา
ปัจจุบันนี้มัณฑะเลย์จัดเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของเมียนมา เป็นรองเพียงกรุงย่างกุ้งเท่านั้น ที่สำคัญยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจทางตอนเหนือของประเทศ ถ้าย้อนกลับไปในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 มัณฑะเลย์เป็นราชธานีที่รุ่งเรืองอย่างมากเช่นกัน แต่เหตุผลที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายของราชวงศ์เมียนมาร์ ก็เพราะในปลายศตวรรษเดียวกันนี้เมียนมาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมอังกฤษ จึงถือเป็นการสิ้นสุดการปกครองในระบอบกษัตริย์ไปโดยปริยาย

การซึมซับเรื่องราวประวัติศาสตร์ของประเทศเพื่อนบ้านต้องเริ่มต้นที่พระราชวังมัณฑะเลย์ ที่จำลองขึ้นจากของจริงเพราะของดั้งเดิมนั้นได้ถูกเผาทำลายไปจนหมดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กลุ่มอาคารนั้นสง่างามด้วยสถาปัตยกรรมแบบเมียนมาและได้รับอิทธิพลมาจากความเชื่อในศาสนาพุทธ

อีกไฮไลต์ของมัณฑะเลย์ที่ไม่ควรพลาดคือสะพานไม้อูเบ็ง เพราะนอกจากจะได้ชมสะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก ยังได้ชมวิถีชีวิตของผู้คนริมทะเลสาบตองมาน และถ่ายรูปกับแสงแดดอ่อน ๆ ในยามเย็น เว้ ประเทศเวียดนาม
หลังจากพระเจ้าซาล็องแห่งราชวงศ์เหงียนได้รวบรวมเวียดนามเหนือจรดใต้ไว้ได้ทั้งหมด พระองค์จึงย้ายเมืองหลวงของเวียดนามจากกรุงฮานอยมาสู่เมืองเว้ซึ่งตั้งอยู่ที่เวียดนามกลาง และได้สร้างพระราชวังที่ว่ากันว่าถอดแบบมาจากพระราชวังต้องห้ามของจีน และล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองถึงสามชั้น ปัจจุบันพระราชวังเก่าแก่ไม่ใช่สิ่งต้องห้ามอีกต่อไป ภายในเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์อวดโฉมความละเอียดลออของการออกแบบสถาปัตยกรรม รวมไปจนถึงการจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ของกษัตริย์เวียดนาม

นอกจากพระราชวัง อีกแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเว้ คือ สุสานของกษัตริย์หลาย ๆ พระองค์ แต่ที่งดงามและโดดเด่นที่สุดคือ สุสานของพระเจ้าไคดิงห์ ที่สร้างขึ้นในปี 1920 และใช้เวลาถึง 11 ปีกว่าจะแล้วเสร็จ สิ่งที่ทำให้ที่นี่แตกต่างจากสุสานอื่น ๆ คือ การออกแบบที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมตะวันออกและตะวันตก

นอกจากประวัติศาสตร์ในการเป็นเมืองหลวงแล้ว เว้ยังมีอีกเรื่องราวในประวัติศาสตร์สงครามเวียดนามกับชีวิตแสนยากลำบากของผู้คนในยุคนั้น เพราะห่างออกไปจากตัวเมืองไม่ไกล เป็นที่ตั้งของอุโมงค์หลบภัยความยาวกว่า 2,000 เมตร ซุกซ่อนอยู่ภายในป่าสีเขียว นักท่องเที่ยวสามารถเดินเข้าไปชมบรรยากาศแสนมืดมิดภายในอุโมงค์ได้ พร้อมชมการจำลองความเป็นอยู่ของชาวเวียดนามในช่วงสงครามผ่านรูปปั้น เทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล
แนวชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของเทลอาวีฟ ทอดตัวยาวกว่า 14 กิโลเมตร เมืองหลวงเก่าของอิสราเอลจึงเป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะกับการมานั่งชิลริมชายหาดและทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นที่สุด และหลังจากการพัฒนาพื้นที่เพื่อสร้างทางเท้าและทางจักรยานยาวตลอดชายฝั่ง ที่เรียกว่า Tel Aviv Promenade ก็ยิ่งทำให้การเที่ยวทะเลยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่

ยิ่งเปรียบเทียบกับเมืองหลวงของอิสราเอลในปัจจุบันอย่างเมืองเยรูซาเล็มที่เต็มไปด้วยภาพของนครศักดิ์สิทธิ์ เทลอาวีฟนั้นกลับมีแต่ภาพของเมืองทันสมัย ด้วยอาคารบ้านเรือนสไตล์โมเดิร์น มีไลฟ์สไตล์ยามค่ำคืนที่น่าสนใจมาก ๆ เพราะมีครบครัน ทั้งค็อกเทลบาร์และเลาจน์สุดหรู และมีพิพิธภัณฑ์ Tel Aviv Museum of Art ตั้งอยู่ใจกลางเมือง

ด้วยเอกลักษณ์ของเมืองแห่งโลกสมัยใหม่ทำให้เทลอาวีฟเป็นหนึ่งใมนเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นมิตรกับ LGBTQ+ มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีการจัดไพรด์ พาเหรดเพื่อเฉลิมฉลองกันเป็นประจำทุกปี ด้วยจำนวนผู้เข้าร่วมมากถึง 250,000 คน

You May Also Like