แอนตาร์กติกา ทริปในฝันของนักสำรวจ

ดินแดนหนาวเหน็บที่ผู้รักการสำรวจอยากไปให้ได้ก่อนตาย
แอนตาร์กติกาเป็นพรมแดนสุดโหดแห่งสุดท้ายที่แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แม้ปัจจุบันภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบต่อภูเขาน้ำแข็ง และระบบนิเวศ แต่ในภาพรวมหากเทียบกับดินแดนอื่นๆที่ถูกรุกรานจากกาลเวลา แอนตาร์กติกาก็นับว่ายังไม่ได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือไปเสียทีเดียว นับแต่ โรอัลด์ อามุนต์เซน (Roald Amundsen) เอาชนะคู่แข่งอย่าง โรเบิร์ต ฟัลคอน สก๊อต (Robert Falcon Scott) ไปถึงขั้วโลกใต้ได้สำเร็จ ใน ค.ศ. 1911 เมื่อก่อนแอนตาร์กติกา เปรียบเสมือนดินแดนต้องห้าม และยากที่ใครจะเดินทางดุ่ม ๆ ไปด้วยตัวเอง เพราะมีภูมิศาสตร์แผ่นดินกว้างใหญ่กว่าทวีปยุโรปเสียอีก แถมยังปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน โตรกผาภูเขาหินสูงชัน และแผ่นหิมะขาวที่ว่านั้น ก็มีความหนากว่า 1 ไมล์ แต่บริเวณคาบสมุทรอาร์คติก ก็เป็นส่วนที่พอจะเข้าถึงได้มากที่สุดแล้ว ในทวีปที่แทบเข้าถึงไม่ได้เลย โดยการเดินทางที่เหมาะที่สุด ต้องนั่งทริปเรือสุดทรหดจากเมืองอูซัวยา (Ushuaia) อาร์เจนตินา ทางตะวันตกสุดของอเมริกาใต้ ซึ่งต้องใช้เวลา 2 วันฝ่าช่องแคบเดรก (Drake Passage) จนไปถึงที่นั่น ยุคที่โลกยังไม่พัฒนาในแบบปัจจุบัน แอนตาร์กติกาเป็นโลกของนักสำรวจ และนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น ไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนคิดอยากจะไป หรือคิดว่าไปได้
แต่เมื่อกาลเวลาผ่านมาจนยุคปัจจุบัน เรือเดินสมุทรที่แล่นอยู่รอบทวีปสีขาวแห่งนี้ บรรทุกนักท่องเที่ยวที่รักการผจญภัย บนเรือมีเคบินหรู ห้องสมุด มีการจัดคอร์สถ่ายภาพ โดยเฉพาะการถ่ายสัตว์ในทวีปแอนตาร์กติกา บนเรือสำราญขนาดมหึมายังมีเรือยางท้องแข็งที่จะพาผู้โดยสารเข้าเทียบฝั่ง ซึ่งนักธรณีวิทยา นักชีววิทยาทางทะเล และนักประวัติศาสตร์ จะเข้าร่วมพาสำรวจพื้นที่ที่คุณเหยียบย่าง ท่ามกลางฝูงเพนกวิน แมวน้ำช้าง แมวน้ำขน ที่กำลังช่วงชิงอาณาเขตกัน
ทริปล่องเรือข้ามทวีปแอนตาร์กติกา (14 วัน)
เดินทางออกจากอูซัวยา อาร์เจนตินา
ราคาเริ่มต้นประมาณ 214,000 บาท/คน 

You May Also Like