รถไฟด่วน OBB จาก Wien Hauptbanhhof หรือสถานีรถไฟเวียนนา จอดสนิทเมื่อมาถึงที่สถานีฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) หลังจากที่ใช้เวลาเดินทางราว 4 ชั่วโมง
บรรดานักท่องเที่ยวพากันลากสัมภาระพระรุงพะรังลงรถไฟ ไปยังท่าน้ำเพื่อรอคอยเรือเฟอร์รี่ข้ามฟาก ทัศนียภาพของเมืองฮัลล์สตัทท์เมื่อมองจากอีกฝากฝั่งในหมอกจางๆ ทำให้หลายคนร้องว้าว เมื่อภาพที่ปรากฎตรงหน้านั้นงดงาม ราวกับโปสการ์ดที่เคลื่อนไหวได้จริง เมืองเล็กที่อยู่ริมทะเลสาบที่ใสราวกระจก งดงามราวกับดินแดนของพวกเอลฟ์ ในเรื่องลอร์ด ออฟเดอะ ริงส์ หงส์สีขาวลอยวนไปบนผิวน้ำไปมาอย่างสง่างาม ในทิวทัศน์เบื้องหลังที่โบสถ์นีโอกอทิกยอดแหลม บ้านหลังเล็กๆ เรียงรายเป็นชั้นๆ ตามไหล่เขา มีน้ำตกไหลซู่จากภูเขาสู่เบื้องล่าง จำนวนนักท่องเที่ยวมากมายที่ท่าเรือ แสดงให้เห็นถึงความนิยมโดยเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยวชาวเอเชียที่รอนแรมมาไกล
ด้วยชื่อเสียงในความงามของหมู่บ้านมรดกโลกริมทะเลสาบที่ได้รับการคุ้มครองจากองค์การยูเนสโก ทำให้เมืองที่มีประชากรเพียง 750 คน อาจมีปริมาณนักท่องเที่ยวมาเยือนกว่าวันละสามพันคนในฤดูกาลท่องเที่ยว “ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นราว 7 ปีมานี้ ทีมีนักท่องเที่ยวมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนบางวันผมว่ามันอาจเยอะเกินไปนิด” Rudolf Scheutz วิศวกรทางรถไฟวัยเกษียณ บอก ซึ่ง รูดอล์ฟ ก็เป็นชาวฮัลล์สตัทท์โดยกำเนิด และเห็นความเป็นไปของเมืองนี้มาโดยตลอด
เมืองแห่งนี้ขนานไปกับทะเลสาบทอดยาว บ้านหลังเล็กๆ ลดหลั่นไปตามไหล่เขา ราวกับเมืองตุ๊กตา น่าถ่ายรูปไปทุกซอกมุม และต้องมีอะไรผิดพลาดมากๆ ถ้าคุณจะได้ภาพถ่ายที่ไม่สวยจากเมืองกลับไป ฮัลล์สตัทท์ มีประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปกว่า 7,000 ปี บนเขาสูงขึ้นไปของเมืองเป็นที่ตั้งของ เหมืองเกลือเก่าแก่ที่สุดในโลก ชื่อนั้นมาจากภาษาเก่าแก่ ที่แปลว่า เมืองแห่งเกลือ โดยมีการใช้ชื่อเฉพาะ ของอารยธรรม ‘ยุคฮัลล์สตัทท์’ ซึ่งหมายถึงช่วงระหว่า 800-400 ปีก่อนคริสตกาล
นอกจากหมู่บ้านมรดกโลกแล้วฮัลล์สตัทท์ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่ง เช่น เหมืองเกลือบนภูเขาที่ พาผู้มาเยือนกลับไปสู่อดีต ที่ Salzwelten Salt Mine ซึ่งต้องอาศัยกระเช้าที่ขึ้นไปพร้อมกับกำลังขา เดินขึ้นเขาเป็นระยะทางสั้นๆ เดินเที่ยวชมจตุรัสเล็ก ๆ กลางเมือง ที่มีโรงแรมและร้านอาหารต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เดินขวักไขว่ โบสถ์นีโอโกธิก Evangelical Church เด่นสง่าอยู่กลางเมือง คู่กับ Chatholic Church ที่มองเห็นบนเนินเขาเป็นแลนด์มาร์กที่โดดเด่นของเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสานอันมีชื่อเสียง และ Bone House หรือว่าที่สุสานที่เก็บหัวกะโหลกกว่า 600 หัว ซึ่งมีการวาดเป็นลวดลายประดับต่างๆ กระโหลกมนุษย์เหล่านี้ มาจากการรวมรวบขึ้นมาหลังการล้างสุสาน ตลอดระยะเวลายาวนานของฮัลล์สตัทนับจากจากยุคศตวรรษที่ 12 สำหรับคนที่มองหาความสงบที่เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ ควรจะใช้เวลาค้างสักคืนสองคืน เพราะช่วงเวลาทองของ ฮัลล์สตัทท์ คือหลังจากเรือเที่ยวสุดท้ายขนนักท่องเที่ยวแบบเดย์ทริปออกไปแล้ว รวมทั้งยามเช้าตรู่ก่อนที่เรือลำแรกจะเข้ามาถึง เพราะคุณจะได้สัมผัสความงามและความสงบของเมืองน่ารัก ริมทะเลสาปแห่งนี้อย่างเต็มอิ่มอย่างที่มันควรเป็น Heritage Hotel Hallstatt
บูทีคโฮเต็ลในทำเลที่เป็นหัวใจของ Hallstatt อยู่ติดกับโบสถ์ที่เป็นแลนด์มาร์ค มองเห็นทะเลสาบจากระเบียงห้องพัก มีร้านอาหาร Das Kainz เสิร์ฟเมนูท้องถิ่นอร่อยๆ ให้บริการในบรรยากาศสบาย ๆ www.hotel-hallstatt.com
บรรดานักท่องเที่ยวพากันลากสัมภาระพระรุงพะรังลงรถไฟ ไปยังท่าน้ำเพื่อรอคอยเรือเฟอร์รี่ข้ามฟาก ทัศนียภาพของเมืองฮัลล์สตัทท์เมื่อมองจากอีกฝากฝั่งในหมอกจางๆ ทำให้หลายคนร้องว้าว เมื่อภาพที่ปรากฎตรงหน้านั้นงดงาม ราวกับโปสการ์ดที่เคลื่อนไหวได้จริง
ด้วยชื่อเสียงในความงามของหมู่บ้านมรดกโลกริมทะเลสาบที่ได้รับการคุ้มครองจากองค์การยูเนสโก ทำให้เมืองที่มีประชากรเพียง 750 คน อาจมีปริมาณนักท่องเที่ยวมาเยือนกว่าวันละสามพันคนในฤดูกาลท่องเที่ยว
เมืองแห่งนี้ขนานไปกับทะเลสาบทอดยาว บ้านหลังเล็กๆ ลดหลั่นไปตามไหล่เขา ราวกับเมืองตุ๊กตา น่าถ่ายรูปไปทุกซอกมุม และต้องมีอะไรผิดพลาดมากๆ ถ้าคุณจะได้ภาพถ่ายที่ไม่สวยจากเมืองกลับไป
นอกจากหมู่บ้านมรดกโลกแล้วฮัลล์สตัทท์ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่ง เช่น เหมืองเกลือบนภูเขาที่ พาผู้มาเยือนกลับไปสู่อดีต ที่ Salzwelten Salt Mine ซึ่งต้องอาศัยกระเช้าที่ขึ้นไปพร้อมกับกำลังขา เดินขึ้นเขาเป็นระยะทางสั้นๆ
บูทีคโฮเต็ลในทำเลที่เป็นหัวใจของ Hallstatt อยู่ติดกับโบสถ์ที่เป็นแลนด์มาร์ค มองเห็นทะเลสาบจากระเบียงห้องพัก มีร้านอาหาร Das Kainz เสิร์ฟเมนูท้องถิ่นอร่อยๆ ให้บริการในบรรยากาศสบาย ๆ www.hotel-hallstatt.com