ถนนหนทางที่ออกจากเมืองกรุนดาร์ฟจอร์ดูร์ (Grundarfjörður)ไปทางชายฝั่งด้านทิศตะวันตก เรียบดำในฤดูหนาวที่หนาทึบของคาบสมุทรสแนฟเฟิลเนส (Snæfellsnes) ความเหน็บหนาวของไอซ์แลนด์ตะวันตกนั้น แม้แต่หญ้าก็ยังแข็งคมเป็นมีด
ธรรมชาติที่มีความงามประหลาดล้ำเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ใด ทำให้ไอซ์แลนด์น่าจะเป็นดินแดนแห่งจินตนาการ เรื่องเล่า นิทานปรัมปราได้ดีไม่แพ้ที่อื่นบนโลก เพราะมีทั้งหิมะบนชายหาดสีดำ น้ำแข็งหนาเป็นเมตรยาวลงมาจากหิน พอรุ่งเช้าแสงอาทิตย์ก็สาดส่อง เปลี่ยนเป็นสีสันสดใส มีเสียงน้ำตกไหลราวฟ้าถล่มลงจากหน้าผา แถมยังมีภูเขาสูงชะลูด ราวกับเป็นหมวกของแม่มดในเทพนิยายแฟนตาซียังไงยังงั้น ชาวไอซ์แลนด์ เล่ากันว่าก้อนน้ำแข็งที่ตกลงมากระทบพื้นบริเวณน้ำตกสีขาวบริสุทธิ์ มองแล้วเปรียบได้เป็นเทียนของ “กรีลา” เรื่องเล่าของกรีลา ก็ชวนสยองขวัญอยู่หน่อยๆ เพราะเธอเป็นผีดิบ มีลูกชาย 13 คน (เรียกว่า Tule Lads ที่คล้ายๆซานตาครอสในเวอร์ชั่นใจร้าย) แม่มดกักขังเด็กๆไว้ 13 วันก่อนคริสต์มาส และกินสามีสองคนของเธอด้วย คนท้องถิ่นในไอซ์แลนด์หลายคนหลงใหลในความเชื่อมโยงของภูมิทัศน์กับตำนาน ไม่แปลกนัก เพราะธรรมชาติบนดินแดนน้ำแข็งนั้นแปลก สวยงาม ชวนให้แต่งแต้มจินตนาการได้มากมาย ไหนจะประวัติศาสตร์ของผู้อพยพสมัยที่พวกไวกิ้งมาตั้งรกรากที่พายเรือในมหาสมุทรแอตแลนติกมาจากนอร์เวย์เมื่อหลายศตวรรษก่อน ในเมื่อไอซ์แลนด์ไม่มีมรดกโลกในรูปแบบที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ใช่แหล่งชมสถาปัตยกรรมอลังการ งานศิลป์ยิ่งใหญ่แบบประเทศยุโรปอื่นๆ แต่ชาวไอซ์แลนด์ก็มีธรรมชาติที่ไม่มีลอกเลียนแบบได้ แถมคนท้องถิ่นก็ได้มรดกในการเล่านิทานติดตัวมาด้วย
ตำนานต่างๆนั้น เมื่อเล่าผ่านรุ่นสู่รุ่น ก็เลยเพิ่มความเข้มข้นเร้าใจขึ้นเรื่อยๆ ดังเช่นหนึ่งในมหากาพย์ เรื่อง “บาโรห์” (Barbour Snaefells) ผู้มาตั้งรกรากคนแรกที่ถูกเขียนขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 15 หรือเรื่องเล่าของผู้ชายที่มีพ่อเป็นคนครึ่งยักษ์ มีลูกสาวลอยตัวอยู่บนแผ่นน้ำแข็งเหนือกรีนแลนด์ บาโรห์กลายมาเป็นกึ่งคนกึ่งเทพ และเล่ากันว่าอาศัยอยู่ในกลาเซียร์ที่สแนฟเฟิลเนสบนปล่องภูเขาไฟที่ครอบคลุมคาบสมุทรในแถบนี้ ชาวไอซ์แลนด์ ยังมีเรื่องเล่าขานตำนานที่เกี่ยวพันกับธรรมชาติและเวทมนตร์ อาจกล่าวได้ว่า ธรรมชาติอลังการที่เราเห็นในไอซ์แลนด์นั้นมีเรื่องเล่าเบื้องหลังในทุกแห่ง โดยเฉพาะในคาบสมุทรสแนฟเฟิลเนส ทุกฟาร์ม ภูเขาทุกลูก มีเรื่องเล่าพร้อมส่ิงมหัศจรรย์เสมอๆ แน่นอนล่ะว่าเรื่องเล่า ตำนาน นิทาน มันอาจเป็นเพียงจินตนาการสนุกๆ ที่ไม่ใช่เรื่องจริงตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าลองกระซิบถามชาวไอซ์แลนด์ว่าอยากฟังเรื่องเล่าสนุกๆล่ะก็ แขกผู้มาเยือนก็มีเรื่องให้ฟังได้ไม่รู้เบื่อเลย
ธรรมชาติที่มีความงามประหลาดล้ำเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ใด ทำให้ไอซ์แลนด์น่าจะเป็นดินแดนแห่งจินตนาการ เรื่องเล่า นิทานปรัมปราได้ดีไม่แพ้ที่อื่นบนโลก เพราะมีทั้งหิมะบนชายหาดสีดำ น้ำแข็งหนาเป็นเมตรยาวลงมาจากหิน พอรุ่งเช้าแสงอาทิตย์ก็สาดส่อง เปลี่ยนเป็นสีสันสดใส มีเสียงน้ำตกไหลราวฟ้าถล่มลงจากหน้าผา แถมยังมีภูเขาสูงชะลูด ราวกับเป็นหมวกของแม่มดในเทพนิยายแฟนตาซียังไงยังงั้น
ตำนานต่างๆนั้น เมื่อเล่าผ่านรุ่นสู่รุ่น ก็เลยเพิ่มความเข้มข้นเร้าใจขึ้นเรื่อยๆ ดังเช่นหนึ่งในมหากาพย์ เรื่อง “บาโรห์” (Barbour Snaefells) ผู้มาตั้งรกรากคนแรกที่ถูกเขียนขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 15 หรือเรื่องเล่าของผู้ชายที่มีพ่อเป็นคนครึ่งยักษ์ มีลูกสาวลอยตัวอยู่บนแผ่นน้ำแข็งเหนือกรีนแลนด์ บาโรห์กลายมาเป็นกึ่งคนกึ่งเทพ และเล่ากันว่าอาศัยอยู่ในกลาเซียร์ที่สแนฟเฟิลเนสบนปล่องภูเขาไฟที่ครอบคลุมคาบสมุทรในแถบนี้