คนที่ชอบบ้านดินจะต้องหลงใหลถ้าได้มาที่ยาซ์ด (Yazd) ซึ่งเป็นเมืองแห่งทะเลทราย บ้านเรือนในย่านเมืองเก่า (old town) เป็นบ้านดินสีน้ำตาลอ่อนปลูกชิดติดกันทั้งเมืองสีเดียวกัน และมีตรอกๆแคบให้เดินไปตามทาง เนื่องจากเป็นเมืองทะเลทรายที่ร้อนอบอ้าว ตามบ้านเรือนแต่หลังจึงมีที่ดักลมหรือ wind catcher หน้าตาเหมือนปล่องไฟบนหลังคา และมีซี่เหมือนลูกกรง ซึ่งจะดักลมให้ไหลลงมาที่ลานกลางบ้าน เมื่อลมพัดผ่านบ่อน้ำด้านล่าง จะช่วยให้อุณหภูมิภายในตัวบ้านเย็นลง
นับเป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาของคนโบราณในการประดิษฐ์เครื่องปรับอากาศโดยหลักธรรมชาติ จะว่าไปก็รวมทั้งบ้านดินด้วยที่ทำให้ผู้อยู่อาศัยไม่ร้อน และกานาตหรืออุโมงค์น้ำใต้ดิน ก็เช่นกันที่นอกจากช่วยให้มีน้ำใช้แล้วยังช่วยทำให้ห้องเย็นลงด้วย
ผู้ที่มาเที่ยวอิหร่านถ้าช่างสังเกต ตามบ้านพักอาศัยมีประตูไม้บานใหญ่ และบานจับเป็นห่วงกลมสองข้าง มีแท่งเหล็กหรือไม้คล้องไว้เพื่อเคาะเรียกเจ้าของบ้าน เพื่อให้เจ้าของบ้านรู้ว่าผู้มาเยือนคือหญิงหรือชาย โดยฟังจากเสียงของการเคาะจากที่จับบนบานประตู ในเขตเมืองเก่าของยาซ์ด ยังมีอีกสถานที่น่าสนใจ นั่นคือ มัสยิด Masjed-e Jameh ซึ่งเสามินาเรตของมัสยิดนี้สูงที่สุดในอิหร่าน เมืองที่ยังมีเทศกาลสำคัญ คือ Muharram ในช่วงเดือนสิงหาคมของทุกปีจะเป็นวันรำลึกครบรอบวันสิ้นชีพของอิหม่ามฮุสเซน ซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนาและถูกสังหารเมื่อ 1,300 ปีก่อน
ในช่วงเทศกาลดังกล่าวมีการประดับธงดำทั่วเมือง บ้างก็แต่งน้ำพุเป็นสีเลือดในเทศกาล ที่มัสยิดมักเต็มไปด้วยผู้คนมาสวดมนต์ รวมทั้งที่ตรงจัตุรัสของเมือง แม้ยาซ์ดเป็นเมืองบ้านดิน แต่ก็มีสวนสวยชื่อดังคือ สวนโดลาตอาบัด (Bage-e Dolat Abad) ที่ร่มรื่น สวนแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของการิมข่าน มีคูน้ำเป็นแนวยาวสองฝั่งจรดทางเข้า ภายในตัวอาคารแบ่งเป็นห้องเล็กห้องน้อยติดกระจกสีหวานที่เป็นห้องของพวกผู้หญิง นอกจากนักท่องเที่ยวจะนิยมแวะมาชมสวนซึ่งร่มรื่นคลายร้อนแล้ว ชาวพื้นเมืองก็ยังชอบมานั่งเล่นกันตามเก้าอี้ยาว คอยโบกมือทักทายนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมาด้วยความเป็นมิตร หลังจากที่นครเปอร์เซโพลิสล่มสลาย ผู้นับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์อันเป็นศาสนาดั้งเดิมของคนอิหร่านย้ายถิ่นมาตั้งหลักที่นี่ โดยศาสนาเก่าแก่นี้มีมานานพอๆกับพุทธศาสนา และมีการบูชาไฟ นั่นทำให้ไฟที่วิหารไฟ (Fire Temple) ที่ยาซ์ด ซึ่งจุดมากว่าสองพันปีไม่เคยมอด ว่ากันว่า คือไฟศักดิ์สิทธิ์ที่นำออกมาจากเปอร์เซโพลิส โดยจะมีเจ้าหน้าที่ประจำวิหารตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อคอยเติมฟืน และผู้ที่นับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์ก็จะมาคาราวะไฟศักดิ์สิทธิ์ที่วิหารนี้ ศาสนาโซโรอัสเตอร์มีหลักการคือ “คิดดี พูดดี และทำดี” สัญลักษณ์ของศาสนาเรียกว่า ฟราวาซี (fravashi) เดิมทีศาสนานี้เคยเป็นศาสนาหลักของชาวอิหร่าน ก่อนที่ภายหลังหันมานับถือศานาอิสลามแทน ทุกวันนี้ก็ยังมีชาวโซโรอัสเตอร์เปิดร้านขายของที่เมืองเก่าของยาซ์ด สินค้ามีทั้งพรม และเครื่องประดับลวดลายสวยงาม และเงินรายได้ก็จะนำไปสนับสนุนชุมชนโซโรอัสเตอร์ต่อไป สถานที่อีกแห่งตั้งอยู่กลางทะเลทราย และ เกี่ยวเนื่องกับประวัติศาสตร์ของชาวโซโรอัสเตอร์ คือ หอคอยแห่งความเงียบ “The Tower of Silence” ที่อยู่นอกเมือง ในสมัยก่อนคือวางศพของชาวโซโรอัสเตอร์ที่ญาติจะนำมาไว้ที่นี่ ไม่มีการเผา หรือ ฝังเพียงแต่วางร่างทิ้งไว้ในหลุมให้แร้งกิน ร่างกายคืนสู่ธรรมชาติตามความเชื่อทางศาสนา
ด้านล่างของเนินเขาจะเป็นที่พักของญาติเพราะข้างบนนั้นไม่อนุญาตให้ใครขึ้นมา โดยนักบวชจะเป็นผู้แบกศพขึ้นมาทำพิธี บรรยากาศสวยงามของเนินเขาสีส้มท่ามกลางแดดอ่อนของอาทิตย์ใกล้ลับฟ้าดูสงบและขลัง ยามที่เราก้าวลงจากยอดหอคอยที่ไม่ได้ใช้งานแล้วในวันนี้ ประตูเหล็กก็ปิดลงเองตามหลังด้วยแรงลมกระมัง ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันของหอคอย ที่วังเวงว่างเปล่าไร้ซึ่งสรรพเสียงสำเนียงใด นอกจากเสียง ฝีเท้าและลมหายใจของผู้มาเยือน
นับเป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาของคนโบราณในการประดิษฐ์เครื่องปรับอากาศโดยหลักธรรมชาติ จะว่าไปก็รวมทั้งบ้านดินด้วยที่ทำให้ผู้อยู่อาศัยไม่ร้อน และกานาตหรืออุโมงค์น้ำใต้ดิน ก็เช่นกันที่นอกจากช่วยให้มีน้ำใช้แล้วยังช่วยทำให้ห้องเย็นลงด้วย
ผู้ที่มาเที่ยวอิหร่านถ้าช่างสังเกต ตามบ้านพักอาศัยมีประตูไม้บานใหญ่ และบานจับเป็นห่วงกลมสองข้าง มีแท่งเหล็กหรือไม้คล้องไว้เพื่อเคาะเรียกเจ้าของบ้าน เพื่อให้เจ้าของบ้านรู้ว่าผู้มาเยือนคือหญิงหรือชาย โดยฟังจากเสียงของการเคาะจากที่จับบนบานประตู
ในช่วงเทศกาลดังกล่าวมีการประดับธงดำทั่วเมือง บ้างก็แต่งน้ำพุเป็นสีเลือดในเทศกาล ที่มัสยิดมักเต็มไปด้วยผู้คนมาสวดมนต์ รวมทั้งที่ตรงจัตุรัสของเมือง
ด้านล่างของเนินเขาจะเป็นที่พักของญาติเพราะข้างบนนั้นไม่อนุญาตให้ใครขึ้นมา โดยนักบวชจะเป็นผู้แบกศพขึ้นมาทำพิธี บรรยากาศสวยงามของเนินเขาสีส้มท่ามกลางแดดอ่อนของอาทิตย์ใกล้ลับฟ้าดูสงบและขลัง ยามที่เราก้าวลงจากยอดหอคอยที่ไม่ได้ใช้งานแล้วในวันนี้ ประตูเหล็กก็ปิดลงเองตามหลังด้วยแรงลมกระมัง ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันของหอคอย ที่วังเวงว่างเปล่าไร้ซึ่งสรรพเสียงสำเนียงใด นอกจากเสียง ฝีเท้าและลมหายใจของผู้มาเยือน