ความจริงแล้ว หากไม่เกิดวิกฤตการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้การท่องเที่ยวกระทบไปทั่วทั้งโลก ในปี 2020 นี้ เมืองมาร์ราเกซ (Marrakesh) ควรจะคึกคักยิ่งกว่าหลายปีที่ผ่านมา เพราะประเดิมการได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของทวีปแอฟริกาเป็นเมืองแรก
“จามา เอล-ฟาน่า” (Jemaa el-Fna Square) ตลาดท้องถิ่นซึ่งเปรียบได้กับศูนย์กลางความมีชีวิตชีวาของกรุงมาร์ราเกช ประเทศโมร็อกโก ก็ควรต้องเฉิดฉายไปกว่าเดิมแน่ๆ จัตุรัสใหญ่ของเมืองหลวงเก่าของโมร็อกโก ที่มีอายุกว่าพันปี เป็นแหล่งรวมการละเล่น โยนห่วงคล้องเสา , ฮาลกา (ละครกลางแจ้ง) และ ฮีกายัค (เล่านิทาน) ที่รุ่งโรจน์มาตั้งแต่ยุคกลาง ซึ่งในสมัยนั้น หมอดูพยากรณ์และหมองูเดินเร่ไปตามถนนหนทาง ผ่านแผงขายเครื่องดนตรี ศิลปินเพนต์ลายเฮนน่า และมีแม้แต่หมอฟันท่าทางไม่น่าไว้ใจ ครั้นเมื่อพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า จัตุรัสจะแปรเปลี่ยนสภาพไปเป็นลานดนตรีสารพัดสำเนียง และความโกลาหลของการแสดงกึ่งละครสัตว์ และการแสดงตลกโจ๋งครึ่มอีกหลายรายการ แถมยังมีการแสดงดนตรีสดกลางแจ้งให้ด้วยอีก เมื่อตกเย็นจะคลาคล่ำไปด้วยรถเข็นขายอาหารจำพวกชาจีนและซุปหอยทาก ขณะที่นักกายกรรม นักเล่านิทาน นักดนตรี และตลกชวนหัว บรรเลงการแสดงท่ามกลางฝูงชน ยูเนสโกจึงประกาศอย่างเป็นทางการให้ที่นี่เป็น “มรดกโลกชิ้นโบแดง” ในด้านวัฒนธรรม โดยรวมไปกับย่านเมืองเก่าของมาร์ราเกซ ตั้งแต่ปี 2001
“จามา เอล-ฟาน่า” (Jemaa el-Fna Square) ตลาดท้องถิ่นซึ่งเปรียบได้กับศูนย์กลางความมีชีวิตชีวาของกรุงมาร์ราเกช ประเทศโมร็อกโก ก็ควรต้องเฉิดฉายไปกว่าเดิมแน่ๆ
แต่เทียบไม่ได้กับกิจกรรมดั้งเดิมของย่านนี้ ที่นับว่าโหดเอาการอยู่ เพราะหากย้อนกลับไปในช่วงศตวรรษที่ 11 บริเวณนี้เคยใช้เป็นลานประหารกลางแจ้ง ซึ่งเมื่อโยงเข้ากับความหมายของชื่อย่านนี้ จะถึงบางอ้อทันที เพราะมีความหมายว่า “รวมกลุ่มคนตาย”
แต่จากจุดเริ่มต้นชวนสยอง ในปัจจุบันก็ผันแปรตัวเองมาสู่การเป็นศูนย์กลางความบันเทิง แหล่งค้าขายสินค้าท้องถิ่น และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญระดับโลก
ข้อมูลเพิ่มเติม www.visitmorocco.com