บูคารา: เมืองแห่งป้อมปราการและหอคอยตระการตา

ตามรอยเส้นทางสายไหมโบราณแห่งอุซเบกิสถาน
ประวัติศาสตร์นับพันปีของบูคาราบนเส้นทางสายไหมโบราณ ทำให้เมืองนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น Museum City ที่อัดแน่นไปด้วยหอคอยและโรงเรียนสอนศาสนา ว่ากันว่าศูนย์การของเมืองซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ไม่ได้เปลี่ยนไปจากสองร้อยปีที่แล้วมากนัก มีหลักฐานเป็นป้อมปราการสูงใหญ่และโดมค้าขายที่พอจะบอกเล่าถึงความรุ่งเรืองบนดินแดนกลางทะเลทรายนี้ในอดีต พื้นที่มรดกมรดกโลกในเมืองบูคารา หลัก ๆ แล้วประกอบด้วย Po-i-Kalyan Mosque Complex จตุรัสที่รวมหอคอย The Kalyan Minaret, มัสยิด และโรงเรียนสอนศาสนาเอาไว้ด้วยกัน หอคอย หรือในภาษาท้องถิ่นว่า มินาเร่ต์ มีความสูง 48 เมตร และกว้างถึง 9 เมตร ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่ามีตัวอักษรอารบิกสลักอยู่ เพื่อบรรยายเรื่องราวของ Master Bago ผู้สร้างหอคอยแห่งนี้ รวมถึงเรื่องราวระหว่างการสร้าง ด้านบนสุดเป็นหน้าต่างทั้งหมด 16 ช่อง ใช้ทำหน้าที่ทั้งหมด 3 อย่าง คือ ใช้ดูข้าศึก ใช้จุดไฟเพื่อบอกตำแหน่งเมืองบูคาราให้กับคาราวาน และใช้เป็นที่ประกาศเรียกคนมาละหมาด แต่ทุกวันนี้ไม่อนุญาตให้คนขึ้นไปด้านบน เพราะบันไดชำรุดทรุดโทรมไปมากแล้ว หอคอยแห่งนี้เคยเสียหายจากสงครามกองทัพแดง ในศตวรรษที่ 19 ถ้าสังเกตให้ดี จะพบร่องรอยการซ่อมแซมเป็นวงกลมขนาดใหญ่สองวง ที่มีสีของอิฐแตกต่างไปจากของเก่า

ฝั่งตรงข้ามของจตุรัส เป็นที่ตั้งของโฮสเทลเล็ก ๆ รวมถึงคาเฟ่บนชั้นดาดฟ้า มีบริการเครื่องดื่มพวกชาและกาแฟ กินกับขนมพื้นเมืองที่ทำจากถั่วลิสงเคลือบน้ำตาล ตรงนี้เป็นจุดชมวิวที่เราขอแนะนำ ป้อม The Ark

เป็นอีกหนึ่งโบราณสถานที่โด่งดังที่สุดในบูคารา ป้อมปราการใหญ่ยักษ์อยู่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 กำแพงมีความสูงเกือบ 20 เมตร เนื้อที่ทั้งหมดที่เห็นในปัจจุบันนี้ มีขนาดเพียง 1 เฮคเตอร์ (พื้นที่จริงทั้งหมดคือ 4 เฮคเตอร์) เพราะถูกทำลายด้วยฝีมือของกองทัพแดงไปเกินกว่าครึ่ง และแม้ว่าป้อมจะมีขนาดใหญ่โตมากแค่ไหน ทางเข้าและทางออกก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้น ด้านบนสุดเป็นที่ตั้งของ Jama Masjid มีสถาปัตยกรรมโดดเด่นอยู่ตรงเสาไม้แกะสลักทั้งหมด 16 ต้น แบ่งเป็นด้านใน 4 ต้นและด้านนอกอีก 12 ต้น ตั้งบนฐานหิน อย่าลืมแหงนหน้า เพราะบนเพดานประดับด้วยลวดลายเรขาคณิตและเถาวัลย์ไม้เลื้อยสุดวิจิตร ว่ากันว่าประตูและหน้าต่างที่อยู่รอบ ๆ อย่างละ 8 บานสื่อถึงทางสู่สวรรค์ ปัจจุบันนี้ด้านในเป็นที่จัดแสดงคัมภีร์อัลกุรอานเก่าแก่ในศตวรรษที่ 17 จะเห็นได้ว่าราชสำนักของเหล่าขุนนางและพระราชวังทั้งหลาย กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไปหมดแล้ว แถมยังหลากหลายมาก ๆ มีทั้งการจัดแสดงสัตว์ที่พบในท้องถิ่น เครื่องแต่งกายพื้นเมือง ข้าวของเครื่องใช้  และพิพิธภัณฑ์พรมและผ้าทอ สิ่งของส่วนใหญ่จะมาจากศตวรรษที่ 17-19 และถ้าอยากลองเป็น “ข่าน” ดูสักครั้งก็มีบัลลังก์จำลองพร้อมเครื่องแต่งกายและมงกุฏมาให้สวมใส่ถ่ายรูปกันเล่น ๆ ด้วย ค่าเข้าชมป้อมปราการ The Ark คนละ 15,000 ซอม บูคาราเป็นทางผ่านในเส้นทางสายไหม เบื้องหลังป้อมปราการและหอคอย เป็นที่ตั้งของโดมการค้า ซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 ดั้งเดิมมีทั้งหมด 5 โดม แต่ทุกวันนี้เหลือให้เห็นเพียง 3 โดมเท่านั้น แบ่งเป็นโดมจิวเวอรี่ โดมผ้า และโดมแลกเงิน (จริง ๆ แล้วมีผ้าขายในทุกโดม) บางส่วนของโดมแลกเงินปรับเปลี่ยนเป็นโรงแรมให้นักท่องเที่ยวเข้าพักด้วย รอบ ๆ บริเวณนี้กลายเป็นย่านการค้าที่มีทั้งร้านอาหารและร้านขายของเกิดใหม่เต็มไปหมด อีกสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งซึ่งน่าสนใจไม่แพ้กัน ตั้งอยู่ทางเหนือของเมืองเก่า Sitorai Mokhi-Khosa Palace เป็นที่รู้จักในฐานะของพระราชวังฤดูร้อน ถูกสร้างขึ้นอย่างงดงามในช่วงศตวรรษที่ 20 แต่หลังจากอาณาจักรบูคาราล่มสลาย พระราชวังแห่งนี้ก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ด้านนอกมีสระน้ำขนาดใหญ่ ว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในเอเชียกลาง ช่วงศตวรรษที่ 19 จากกรุงเทพฯ มีเที่ยวบินตรงของสายการบินอุซเบกิสถานสู่สนามบินทาชเค้นท์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมง

การเดินทางไปยังบูคารา สามารถเดินทางได้โดยรถไฟความเร็วสูง หรือรถยนต์

You May Also Like