บริเวณท่าเรือของเมืองบัลปาราอีโซ หรือ ฟาลปาไรโช (Valparaíso) ในสมัยหนึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “อัญมณีของแปซิฟิก” เพราะราวศตวรรษที่ 19 ชาวยุโรปจำนวนไม่น้อยเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาแสวงโชคตั้งถิ่นฐานยังดินแดนอเมริกาใต้ แล้วก็ร่ำรวยขึ้นมาจากการส่งเรือบรรทุกผู้คนไปแคร์ลิฟอร์เนียในยุคตื่นทอง แล้วสร้างคฤหาสน์ที่สามารถมองเห็นเรือสินค้าแล่นออกไปสู่ทะเลกว้างใหญ่ ได้จากระเบียงบ้าน แต่การเปิดใช้คลองปานามาในปี 1914 ก็ทำให้เมืองท่าที่เคยรุ่งเรืองหมดความหมายลงไป เมืองที่เคยคึกคักทางการค้าการเดินเรือก็ถูกปล่อยทิ้งร้างเสื่อมโทรมลงไปอย่างน่าเสียดาย เหลือเพียงบรรยากาศสวยแบบหดหู่ที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับจิตรกร กวี และนักดนตรี ซึ่งความงามระเกะระกะที่เหลืออยู่ของเมือง ก็ยังได้รับนิยามว่าเป็น ความเลอะเทอะที่แสนวิเศษ ช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด บัลปาราอีโซ เป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัย ความก้าวหน้า เคยมีเคเบิลคาร์ถึง 40 สาย แต่เหลือ 9 สายในปัจจุบัน ซึ่งเครื่องยนต์จากเยอรมันก็ยังใช้การได้ดีจนถึงวันนี้
การโดยสารด้วยเคเบิลคาร์ จะทำให้ได้สัมผัสความงามของเมือง มองเห็นอาคารบ้านเรือนนับพันทาบทาสีสันลูกกวาดพาสเทลละลานตาไปบนเนินเขา เป็นเอกลักษณ์เด่นของเมือง หากมองผิวเผินอาจคิดว่าเป็นแค่บ้านเรือนที่สร้างติดกันบนเทือกเขา แต่การออกแบบและสถาปัตยกรรมที่ชาญฉลาด ผนวกเข้ากับวัฒนธรรมความเป็นอยู่ การปรับตัวกับภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยภูเขาสูงชัน ก็ทำให้เมืองแห่งนี้ได้รับการคุ้มครองในฐานะมรดกโลกอีกด้วย บัลปาราอีโซ ยังเป็นเมืองท่าที่สำคัญ เป็นที่ตั้งของฐานทัพเรือ เป็นศูนย์กลางการศึกษา และเมืองพักตากอากาศยอดนิยมของประเทศในช่วงฤดูร้อน เพราะมีอาณาเขตติดกับทะเลแปซิฟิก จึงมีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี
นั่งรถบัสจากเมืองหลวง Santiago ไป Valparaíso ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง สามารถไปเที่ยวแบบเดย์ทริปได้
นั่งรถบัสจากเมืองหลวง Santiago ไป Valparaíso ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง สามารถไปเที่ยวแบบเดย์ทริปได้